การวางแผนการยก (Lifting Plan) เป็นขั้นตอนสำคัญที่ใช้ในกระบวนการยกวัสดุหรือสิ่งของด้วยเครนหรือปั้นจั่น โดยมุ่งเน้นการประเมินและคำนวณอย่างถูกต้อง เพื่อให้แน่ใจว่าการปฏิบัติงานเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ การทำแผนการยกอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตามที่กำหนดในกฎกระทรวงเรื่องการจัดการความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับปั้นจั่นและเครื่องจักรอื่นๆ สามารถช่วยให้กระบวนการยกดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำคัญของการวางแผนการยก
การยกวัสดุด้วยเครนหรือปั้นจั่นเป็นงานที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุสูง หากไม่มีการวางแผนและควบคุมที่ดี การใช้เครนหรือปั้นจั่นอย่างไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ทั้งการล้มของเครน สิ่งของตกหล่น หรือแม้แต่การสัมผัสกับสายไฟฟ้าแรงสูง การวางแผนการยกช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวโดยการประเมินและจัดทำขั้นตอนการยกอย่างละเอียด
ซึ่งมีข้อกำหนดตามกฎหมายที่ระบุใน กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ปั้นจั่น และหม้อน้ำ พ.ศ.2564 ข้อ 84 นายจ้างต้องจัดทำแผนการยกสำหรับการทำงานที่มีลักษณะพิเศษ เช่น
- ใช้เครนสองเครื่องขึ้นไปในการยก
- การยกวัสดุที่มีน้ำหนักมากกว่าร้อยละ 75 ของพิกัดยกที่ปลอดภัย
- การยกใกล้สายไฟฟ้า
- การยกวัสดุที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงจุดศูนย์ถ่วง
- การยกสิ่งของที่มีน้ำหนักมากกว่า 25 ตัน
ส่วนประกอบของแผนการยก มีอะไรบ้าง
แผนการยกต้องจัดทำโดยผู้ควบคุมการใช้เครน ที่ผ่านการอบรมเครน อย่างถูกต้อง และต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจนตาม ข้อ 85 ของกฎกระทรวง ได้แก่:
- รายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานเครน เช่น ผู้ควบคุมเครน ผู้สั่งการยก และคนงานที่รับผิดชอบการยึดอุปกรณ์ยก
- ตารางการยกที่ระบุความสามารถในการยกของเครนในแต่ละรัศมีและความสูง
- รายละเอียดของเครน เช่น รัศมีการยก ความยาวบูมที่ใช้
- รายละเอียดของอุปกรณ์ประกอบการยก เช่น สลิง ตะขอ และอุปกรณ์ช่วยยกอื่นๆ
- ข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุที่ทำการยก เช่น ขนาด น้ำหนัก และจุดศูนย์ถ่วง
- ความสามารถในการรับน้ำหนักของพื้นรองรับเครน
- ขนาดพื้นที่ของแผ่นรองขารองรับน้ำหนักเครน
- ขั้นตอนการยกพร้อมมาตรการความปลอดภัย
วิธีคำนวณน้ำหนักที่เครนสามารถยกได้
หนึ่งในข้อมูลที่ใช้ในการทำ วางแผนการยก (Lifting Plan) ต้องคำนวณน้ำหนักที่เครนสามารถยกได้ ซึ่งขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำเพื่อความปลอดภัย การคำนวณนี้ประกอบไปด้วยหลายขั้นตอนที่ต้องใช้ข้อมูลจากตารางน้ำหนัก รวมถึงการวิเคราะห์ระยะการยก ความสูง และความยาวบูม ดังนี้:
1. การคำนวณหาระยะยก B (Working Radius)
ระยะยก หรือ Working Radius แทนตัวย่อ B คือ ระยะที่วัดจากจุดศูนย์กลางของเครนไปยังจุดที่วางชิ้นงาน ระยะนี้เป็นปัจจัยสำคัญในการคำนวณขีดจำกัดน้ำหนักที่เครนสามารถยกได้ โดยเมื่อระยะยกเพิ่มขึ้น น้ำหนักที่เครนสามารถยกได้จะลดลง ผู้ใช้งานเครนจึงต้องมีความแม่นยำในการวัดและกำหนดระยะยก เพื่อให้สามารถเลือกใช้งานเครนและบูมในลักษณะที่เหมาะสม
วิธีการคำนวณระยะยกสามารถทำได้โดยการวัดจากจุดศูนย์กลางของเอวสวิงของเครน (Base of crane) ไปยังจุดที่วางชิ้นงาน วิธีการนี้จำเป็นต้องแม่นยำเพราะเป็นข้อมูลพื้นฐานในการอ่านค่าจากตารางน้ำหนัก
2. การคำนวณหาระยะความสูง H (Lifting Height)
หลังจากได้ระยะยกแล้ว ขั้นตอนถัดมาคือการคำนวณ ระยะความสูง แทนตัวย่อ H ซึ่งคือระยะทางจากพื้นดินไปยังตำแหน่งที่วางชิ้นงาน โดยต้องคำนวณรวมถึงความสูงของชิ้นงาน ความสูงของอุปกรณ์ช่วยยก (เช่น สลิงหรือโซ่) และเผื่อระยะที่จำเป็นเพื่อความปลอดภัย โดยคำนวณตามสูตร:
-
- ระยะความสูง = ความสูงที่จุดวาง + ความสูงชิ้นงานและอุปกรณ์ช่วยยก + ระยะเผื่อ
ตัวเลขระยะความสูงนี้จะช่วยให้เราสามารถเลือกใช้บูมที่มีความยาวที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถยกชิ้นงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
3. การคำนวณหาระยะความยาวบูม A (Boom Length)
ความยาวบูม (Boom Length) แทนตัวย่อ A เป็นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการยกชิ้นงาน ความยาวของบูมจะส่งผลต่อความสามารถในการยกน้ำหนักของเครน โดยเมื่อความยาวของบูมเพิ่มขึ้น น้ำหนักที่เครนสามารถยกได้จะลดลง ผู้ใช้งานเครนจึงต้องคำนวณความยาวบูมที่เหมาะสมตามระยะยกและความสูงที่ได้จากขั้นตอนก่อนหน้า
การคำนวณความยาวบูมสามารถทำได้โดยการทำเครื่องหมายตามระยะการทำงาน (Working Radius) และระยะความสูง (Lifting Height) บนตารางน้ำหนัก จากนั้นลากเส้นที่ผ่านทั้งสองจุดนี้ เพื่อตรวจสอบความยาวบูมที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถอ่านค่าพิกัดการยกจากตารางน้ำหนักได้อย่างถูกต้อง
4. การอ่านตารางน้ำหนัก (Loading Chart)
เมื่อได้ค่าความยาวบูมที่เหมาะสมแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการอ่านค่าจาก ตารางน้ำหนัก (Loading Chart) โดยในตารางนี้จะมีข้อมูลที่แสดงถึงน้ำหนักสูงสุดที่เครนสามารถยกได้ในแต่ละระยะของบูม ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถกำหนดขีดจำกัดของการยกในสถานการณ์ต่าง ๆ และป้องกันการยกน้ำหนักเกินขีดจำกัดของเครน
5. การคำนวณน้ำหนักที่เครนสามารถยกได้ทั้งหมด
ขั้นตอนสุดท้ายคือการคำนวณน้ำหนักทั้งหมดที่เครนสามารถยกได้ โดยนอกจากน้ำหนักของชิ้นงานแล้ว ผู้ใช้งานยังต้องคำนวณน้ำหนักของอุปกรณ์ช่วยยก เช่น สลิง ตะขอเครน และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ใช้ในการยก ซึ่งต้องคำนวณรวมเข้าไปในน้ำหนักทั้งหมดที่เครนต้องรับ
-
- น้ำหนักที่เครนสามารถยกได้ = น้ำหนักชิ้นงาน + น้ำหนักสลิงและตะขอเครน + น้ำหนักของอุปกรณ์ช่วยยก
6. อัตราส่วนของน้ำหนักที่ยกต่อความสามารถในการยก
เอาข้อมูลที่ได้มาคำนวนในสูตร Capacity % = (น้ำหนักรวมทั้งหมด / น้ำหนักที่จะยกได้ตำมพิกัดปั้นจั่น ) x 100
การคำนวณนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่าการยกจะอยู่ในขีดจำกัดของเครน และสามารถดำเนินงานได้อย่างปลอดภัย
มาตรการความปลอดภัยในการวางแผนการยก
การวางแผนการยกต้องควบคู่ไปกับมาตรการความปลอดภัยที่ชัดเจน ซึ่งรวมถึง:
- ประเมินสถานที่: คำนึงถึงสภาพแวดล้อมในการทำงาน เช่น สภาพพื้นดิน การวางตำแหน่งเครน และพื้นที่สำหรับการหมุนของบูม
- ตรวจสอบเครน: ก่อนทำการยกต้องตรวจสอบเครน ว่าอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งาน รวมถึงการตรวจสอบสลิงและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ของเครน ช่างในการตรวจจะรู้ดีว่ารายการตรวจเครน ต้องปฏิบัติการตรวจอย่างไรบ้าง
- สื่อสารระหว่างทีมงาน: ควรมีการกำหนดสัญญาณมือหรือวิธีการสื่อสารที่ชัดเจนระหว่างผู้ควบคุมเครน ผู้สั่งการยก และพนักงานที่เกี่ยวข้อง
สรุป
การวางแผนการยก (Lifting Plan) เป็นขั้นตอนที่ต้องดำเนินการอย่างละเอียดและรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าการยกวัสดุหรือสิ่งของด้วยเครนจะดำเนินไปอย่างปลอดภัยและไม่มีอุบัติเหตุที่ไม่พึงประสงค์ การคำนวณที่ถูกต้องและการจัดทำแผนที่ครอบคลุมทุกรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการยก ไม่ว่าจะเป็นระยะทำงาน ความยาวบูม หรือพิกัดการยก จะช่วยให้กระบวนการยกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยและการประเมินความเสี่ยงก่อนการยก เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อความปลอดภัยของทุกคนในหน่วยงาน